ขั้นตอนการดำเนินคดีแพ่ง
- Kratay Sagaoduen
- 8 มิ.ย. 2565
- ยาว 1 นาที
อัปเดตเมื่อ 26 มิ.ย. 2565
คดีแพ่ง เริ่มต้นได้อย่างไร?

คดีแพ่ง แบ่งแยกได้ 2 กรณี คือ
1. เริ่มต้นโดยการฟ้องดำเนินคดี เป็นคดีมีข้อพิพาท เมื่อมีข้อโต้แย้งเกิดขึ้นเกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ของบุคคลใดตามกฎหมายแพ่ง กล่าวคือ เป็นคดีที่เกี่ยวกับเรื่องของบุคคล 2 ฝ่าย ที่มีการทำผิดสัญญาหรือโต้แย้งสิทธิกัน เช่น การฟ้องให้ผู้กู้ชำระเงินตามสัญญากู้ การฟ้องให้ผู้ละเมิดชดใช้ค่าเสียหาย คดีผิดสัญญาซื้อขาย คดีเช่าทรัพย์ คดีจำนอง คดีตั๋วเงิน คดีมรดก ฟ้องหย่า เรียกค่าเลี้ยงดูบุตร ฟ้องชู้ ขับไล่ เปิดทางภาระจำยอม เป็นต้น
2. เริ่มต้นโดยทำเป็นคำร้อง เป็นคดีไม่มีข้อพิพาท เมื่อบุคคลใดจะต้องใช้สิทธิทางศาล เช่น คำร้องขอตั้งผู้จัดการมรดก คำร้องขอในเรื่องความสามารถของบุคคล คำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งแสดงกรรมสิทธิ์ในที่ดินโดยการครอบครองปรปักษ์ เป็นต้น
การเริ่มต้นคดีแพ่งไม่ว่าเป็นคดีมีข้อพิพาท หรือคดีไม่มีข้อพิพาท จะต้องเสนอคดีต่อศาลที่มีเขตอำนาจ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง และตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม
หากเสนอคดีต่อศาลที่ไม่มีอำนาจพิจารณาคดี ศาลก็ไม่สามารถรับคดีนั้นไว้พิจารณาได้
ทั้งนี้ ในปัจจุบันมีคดีผู้บริโภคที่กฎหมายกำหนดให้มีขั้นตอนและวิธีพิจารณาคดีแยกต่างหากโดยอาศัยพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. ๒๕๕๑ ในการพิจารณาคดี ดังนั้น การดำเนินคดีผู้บริโภคจึงมีวิธีพิจารณาคดีที่แตกต่างไปจากคดีแพ่งทั่วๆไป
การดำเนินคดีแพ่งต้องทำอย่างไร?
การดำเนินคดีแพ่ง ต้องจ้างทนายความเพื่อยื่นคำฟ้องหรือคำร้องต่อศาลที่มีอำนาจพิจารณาคดี มีการเสียค่าธรรมเนียมศาล รวมทั้งค่านำหมายให้แก่คู่ความฝ่ายตรงข้าม เพื่อให้ทราบถึงการฟ้องร้องนั้น ซึ่งค่าธรรมเนียมต่าง ๆ จะมีการรวบรวมไว้ และเมื่อชนะคดีแล้ว ศาลจะพิพากษาให้จำเลยใช้เงินค่าธรรมเนียมต่าง ๆ นั้น แทนโจทก์ และเมื่อชนะคดีโจทก์ก็ต้องนำยึดทรัพย์สินของจำเลยเพื่อนำออกขายทอดตลาด และนำเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดมาชำระหนี้คืนให้แก่โจทก์
การจ้างทนายฟ้องคดีแพ่ง ต้องทำอย่างไร?
1. รวบรวมพยานหลักฐาน
ในคดีแพ่งพยานเอกสารและพยานวัตถุเป็นพยานหลักฐานที่สำคัญในคดี ส่วนพยานบุคคลจะเป็นพยานที่มีความสำคัญรองลงมาจากพยานวัตถุและพยานเอกสาร ตัวอย่างเช่น คดีกู้ยืมเงินกว่าสองพันบาทขึ้นไป ถ้าไม่มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญ จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่
ดังนั้นกฎหมายบังคับให้ต้องมีสัญญากู้ยืมหรือหลักฐานการกู้ยืม ถ้าไม่มีสัญญากู้ยืมหรือหลักฐานการกู้ยืม แต่นำพยานบุคคลมาสืบ ศาลไม่สามารถพิพากษาให้ชนะคดีอย่างแน่นอน
โดยหากยืมเงินกันผ่านทางแอพพลิเคชั่นไลน์ (LINE) หรือทางเฟสบุ๊ก (Facebook) กฎหมายเปิดทางให้ทำได้โดยต้องปรากฏข้อความที่ทั้งสองฝ่ายได้พิมพ์ส่งต่อกันหรือโต้ตอบกันไปมานั้น จะต้องเป็นข้อความที่บอกถึงความต้องการหรือข้อความที่แสดงถึงการขอยืมเงินที่ชัดเจนว่าได้มีการตกลงให้ยืมกัน และมีการโอนเงินตามจำนวนที่หยิบยืมกัน ผู้ให้ยืมจำเป็นต้องเก็บหลักฐาน เช่น ใบสลิปโอน ไม่ว่าจะโอนกันเป็นสลิปพร้อมเพย์ หรือสลิปที่แสดงถึงการโอนถึงบัญชีผู้กู้ยืมเงินทางไลน์ หรือทางเฟซบุ๊ก นอกจากนี้ต้องมีการแสดงถึงตัวตนของผู้กู้ยืมและมีการยืนยันตัวเองที่ชัดเจนที่เรียกว่า User Account เพื่อให้รู้ว่าฝ่ายผู้กู้ยืมนั้นคือใคร
ดังนั้นการดำเนินคดีมีข้อพิพาททางแพ่งต่างๆ จะต้องตรวจสอบหลักฐาน ทั้งพยานเอกสาร เช่น สัญญา หรือเอกสารหลักฐานต่างๆที่ทำขึ้นระหว่างกันก่อน เช่น ใบสั่งซื้อสินค้า ใบวางบิล ใบส่งของ หรือหลักฐานที่เป็นการพูดคุยโต้ตอบกัน เช่น อีเมลโต้ตอบ หลักฐานการสนทนาผ่านสื่อออนไลน์ เช่น Facebook หรือ LINE กล้องวงจรปิด หรือคลิปวิดีโอ เป็นต้น
ดังนั้นก่อนปรึกษาทนายความควรเก็บรวบรวมพยานหลักฐานต่างๆที่เกี่ยวข้องก่อน และที่สำคัญให้เตรียมเอกสารหลักฐานทุกอย่างที่เกี่ยวข้องมาทั้งหมดมอบให้ทนายความ แม้จะเป็นเอกสารเล็กๆน้อยๆ ที่อาจดูเหมือนว่าไม่เกี่ยวข้อง แต่ความจริงเอกสารดังกล่าวอาจจะเป็นพยานหลักฐานสำคัญในแง่ของกฎหมายก็ได้
2.นัดหมายปรึกษากับทนายความ
เมื่อรวบรวมเอกสารหลักฐานเบื้องต้นแล้ว ท่านควรนัดหมายและพูดคุยรายละเอียดกับทนายความเพื่อสอบข้อเท็จจริงอย่างละเอียดที่สุด ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความเข้าใจตรงกันในทุกเรื่องทุกประเด็นเพราะก่อนฟ้องร้องดำเนินคดี ทนายความจะต้องรู้รายละเอียดข้อเท็จจริงในคดีทุกเรื่องอย่างรอบด้าน เพื่อที่จะได้ตั้งรูปคดี ประเมินทางได้ทางเสีย และหาทางปิดช่องว่างของคดีได้ถูกต้อง เพราะหากทนายความเข้าใจเรื่องราวผิด หรือสอบข้อเท็จจริงตกหล่นในบางประเด็นไป ย่อมอาจส่งผลกระทบต่อรูปคดีในชั้นพิจารณาได้
3.ทำสัญญาว่าจ้างและเอกสารแต่งตั้งทนายความ
เมื่อพูดคุยทำความเข้าใจกันครบถ้วนทุกประเด็นแล้ว ทนายความก็จะอธิบายให้ท่านเข้าใจว่าในการฟ้องร้องดำเนินคดีจะฟ้องร้องกฎหมายเรื่องอะไร ฟ้องที่ศาลไหน มีค่าใช้จ่ายเท่าไร มีกำหนดการจ่ายเงินอย่างไร แนวทางการทำงานเป็นอย่างไร
เมื่อตกลงค่าทนายความกันได้ ทนายความก็จะจัดทำสัญญาว่าจ้าง รวมทั้งหนังสือมอบอำนาจฟ้องร้องดำเนินคดี และใบแต่งตั้งทนายความให้ท่านเซ็นต์ และเก็บสัญญาไว้คนละฉบับเพื่อเป็นหลักฐานระหว่างการทำงาน ภายหลังจากนั้นทนายความจะใช้เวลาร่างฟ้องเพื่อเตรียมยื่นต่อศาลโดยระยะเวลาขึ้นอยู่กับความยากง่ายและความซับซ้อนของรูปคดี และในการรวบรวมเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้อง
4.การยื่นฟ้องคดีแพ่งต่อศาล
เมื่อทนายความจัดทำคำฟ้องเรียบร้อยแล้ว ทนายความก็จะยื่นฟ้องคดีนั้นต่อศาล โดยวันยื่นฟ้องลูกความไม่ต้องเดินทางไปพร้อมทนายความแต่อย่างใด ทนายความจะเป็นคนเดินทางไปยื่นฟ้องคดีเอง โดยอาศัยใบแต่งตั้งทนายความ หนังสือมอบอำนาจแต่งตั้งทนายความที่ท่านเซ็นต์ไว้ให้ในวันที่ทำสัญญาว่าจ้างนั่นเอง ซึ่งในการยื่นฟ้องลูกความมีหน้าที่เพียงการชำระค่าธรรมเนียมศาลและค่าส่งหมายศาลให้กับทนายความเท่านั้น
5.การขึ้นศาลนัดแรก
โดยปกติในคดีแพ่ง ไม่ว่าจะเป็นคดีแพ่งสามัญ คดีผู้บริโภค คดีมโนสาเร่ คดีของศาลเยาวชนและครอบครัว คดีแรงงาน หรือคดีแพ่งอื่นๆในวันนัดขึ้นศาลนัดแรก ศาลมักจะนัดคู่ความทุกฝ่ายมาเจรจาไกล่เกลี่ยกันก่อน เพราะวัตถุประสงค์ของคดีแพ่งนั้น ต้องการให้คู่ความทุกฝ่ายเจรจาตกลงประนีประนอมยอมความกันมากกว่าจะสู้คดีกันจนถึงที่สุด ซึ่งในวันนัดแรกนี้ ศาลจะเรียกคู่ความทุกฝ่าย มานั่งพูดคุยกันที่ห้องไกล่เกลี่ย เพื่อเจรจาหาข้อสรุปตกลงกัน บางครั้งก็นั่งไกล่เกลี่ยกันอยู่ในบัลลังก์ศาล แต่ส่วนใหญ่แล้วก็อยู่ในห้องแยกเป็นสัดส่วนต่างหาก ขึ้นอยู่กับความพร้อมของศาลแต่ละแห่ง
ทั้งนี้ในการเจรจาไกล่เกลี่ย จะมีคนกลางคนหนึ่งที่ไม่ใช่ผู้พิพากษามานั่งเป็นผู้ไกล่เกลี่ย โดยคนเหล่านี้มักจะเป็นผู้ทรงคุณวุฒิ มีหน้าตาในสังคม มีจิตอาสาสมัครเข้ามาทำหน้าที่ เป็นคนกลางในการเจรจาข้อพิพาทให้ทุกฝ่าย หรือบางครั้งถ้าผู้ไกล่เกลี่ย พยายามไกล่เกลี่ยแล้วตกลงกันไม่ได้หรือยังติดปัญหาข้อพิพาทบางอย่าง ผู้พิพากษาที่รับผิดชอบศูนย์ไกล่เกลี่ย หรือผู้พิพากษาเวรวันนั้น ก็อาจจะมาช่วยไกล่เกลี่ยให้อีกครั้ง
ถ้าสามารถตกลงกันได้จะเข้าสู่กระบวนการทำสัญญาประนีประนอมยอมความ แต่ถ้าตกลงกันไม่ได้ศาลจะนัดเลื่อนคดีไป เพื่อนัดพร้อมหรือนัดชี้สองสถาน(คือ กำหนดประเด็นข้อพิพาทที่จะนำสืบ) และกำหนดวันนัดสืบพยานต่อไป หรือในวันนัดแรกนี้ถ้าจำเลยไม่มาศาล ศาลจะพิจารณาพิพากษาชี้ขาดคดีไปฝ่ายเดียวให้โจทก์เป็นฝ่ายชนะคดีโดยขาดนัด
6.ศาลตัดสิน / บังคับคดี
เมื่อศาลพิพากษาให้ท่านชนะคดีแล้ว จำเลยไม่ชำระหนี้ตามคำพิพากษา ขั้นตอนต่อไปคือทนายความจะออกหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีเพื่อดำเนินการสืบทรัพย์และยึดทรัพย์สินของจำเลย โดยก่อนการออกหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดี จะต้องรอให้พ้นกำหนดระยะเวลาประมาณ 15-30 วัน นับแต่วันที่ศาลอ่านคำพิพากษาเสร็จก่อน เพราะศาลจะต้องออกคำบังคับให้จำเลยปฏิบัติตามคำพิพากษา หากพ้นกำหนดระยะเวลาตามคำบังคับแล้วจำเลยไม่ชำระหนี้ตามคำพิพากษา ทนายความก็จะขอให้ศาลออกหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีต่อไป เมื่อได้หมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีมาแล้วทนายความก็จะนำหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีดังกล่าวไปขออำนาจเจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการบังคับคดีกับจำเลยต่อไป ถ้าเป็นหนี้เงินก็ทำการยึดทรัพย์ไม่ว่าจะเป็น บ้าน ที่ดิน รถยนต์ เงินในบัญชี หรืออายัดเงินเดือน อายัดรายได้ต่างๆ
ถ้าเป็นหนี้ให้จำเลยกระทำการ เช่น เปิดทางภาระจำยอม หรือขับไล่จำเลยออกจากที่ดิน ก็ใช้อำนาจเจ้าพนักงานบังคับคดีรื้อถอนเปิดทาง หรือบังคับขับไล่จำเลย ถ้าจำเลยไม่ยอมก็อาจจะถูกจับกุมกักขัง ถ้าเป็นหนี้ที่ใช้คำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา เช่น การให้โอนกรรมสิทธิ์ในที่ดิน หรือการจดทะเบียนหย่า ก็ใช้คำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาไปดำเนินการตามกฎหมายได้
7.อุทธรณ์ ฎีกา
ถ้าท่านเห็นว่าศาลชั้นต้นพิพากษาไม่เป็นไปตามที่ท่านต้องการ เช่น พิพากษายกฟ้อง หรือพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้ไม่เต็มตามฟ้อง ท่านก็มีสิทธิยื่นอุทธรณ์ ฎีกา คัดค้านคำพิพากษาได้ตามกฎหมาย โดยใช้เวลาพิจารณาของศาลอุทธรณ์ประมาณ 6 เดือนถึง 1 ปี ในศาลฎีกาประมาณ 1-2 ปี
ส่วนจำเลยเองก็มีสิทธิอุทธรณ์หรือฎีกาคัดค้านคำพิพากษาที่ให้เขาแพ้คดีเช่นเดียวกัน แต่ในระหว่างที่จำเลยอุทธรณ์หรือฎีกา หากหนี้ตามคำพิพากษาเป็นหนี้เงิน ท่านที่ชนะคดีตามคำพิพากษาก็ยังมีสิทธิดำเนินการบังคับคดีกับจำเลย เว้นแต่ตัวจำเลยจะขอทุเลาการบังคับคดี และวางทรัพย์สินไว้เป็นหลักประกันระหว่างการพิจารณาชั้นอุทธรณ์หรือฎีกา
Comments